About Me

My photo
ใครคือ Kru Dr. Gan: ครูคนหนึ่งที่รักการสอนหนังสือ Kru Dr. Gan อยู่ที่ไหน: ไป ๆ มา ๆ ระหว่างเมืองไทยกับสหรัฐอเมริกา Kru Dr. Gan สอนวิชาอะไรบ้าง: ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม Kru Dr. Gan สอนใครบ้าง: น้อง ๆ มัธยมไปจนถึงนักศึกษาปริญญาเอก Kru Dr. Gan ทำอะไรอีกนอกจากสอน: ทำวิจัย เขียนบทความ ฯลฯ

Monday, March 7, 2011

เรียนรู้ภาษา นำพาวัฒนธรรม ตอนที่ 2: Language and Culture Part 2

สวัสดีครับ กลับมาตามที่สัญญากันไว้ สำหรับตอนนี้ เราก็จะมาต่อกันกับการเรียนภาษาอังกฤษ ควบคู่ไปกับการเรียนรู้วัฒนธรรม ซึ่งครูคิดว่าเป็นการเรียนภาษาที่สนุก ไม่ใช่เป็นการเรียนภาษาแบบท่องจำตำราท่องศัพท์ไปวัน ๆ

ส่วนหนึ่งของการเรียนภาษาควบคู่ไปกับการเรียนรู้วัฒนธรรมก็คือการอ่านครับ ใช่แล้วล่ะ อ่านเยอะ ๆ ยิ่งยุคสมัยนี้ สมัยที่ Internet หาได้ในเกือบทุก ๆ ที่ การหาบทความดี ๆ อ่านที่เป็นภาษาอังกฤษทำได้ไม่ยากอีกต่อไปแล้ว เพราะสื่อต่าง ๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษมีให้อ่านเยอะแยะไปหมด

แต่บางคนอาจจะบอกว่า ก็เพราะว่ามีเยอะไปหมดน่ะสิ จะเลือกอ่านยังไงล่ะให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ให้ตรงเป้าตรงประเด็นกับการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของเราให้มากที่สุด

จริง ๆ ตรงนี้ครูก็ยอมรับนะว่าตอบยากเหมือนกัน เพราะแต่ละคนก็ชอบที่จะอ่านต่างกัน รสนิยมต่างกัน บางคนอาจจะชอบอ่านอะไรสนุก ๆ บันเทิงสมอง แต่บางคนก็อาจจะชอบอะไรหนักนิด ๆ ที่เป็นสาระหน่อย ๆ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ครูเห็นว่าน้อง ๆ หลายคนคงจะชอบอ่านนิยายโดยเฉพาะเรื่องสืบสวนสอบส่วนเนี่ย โดยมากแล้วมันจะเป็นหัวข้อที่หลาย ๆ คนชอบกัน เพราะมันท้าทายสมองประลองปัญญาดี

วันนี้ครูก็จะมาชี้แนวทางให้ครับว่าเราจะอ่านนิยายอย่างไรให้เข้าเป้ากับการพัฒนาการเรียนภาษาของเราให้มากที่สุด เร็ว ๆ นี้ครูได้มีโอกาสไปห้องสมุดในเมืองที่ครูอยู่มา เดินไปเดินมาก็ไปเจอนิยายสืบสวนสอบสวน (mystery) เล่มหนึ่ง หยิบมาดูก็เห็นว่าน่าสนใจมาก และที่น่าสนใจมากขึ้นก็เพราะว่าหน้าปกของหนังสือเล่มนี้เขียนว่า

The Ring of McAllister: Score-Raising Mystery Featuring 1,046 Must-Know SAT Vocabulary Words
นอกจากเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนแล้ว น้อง ๆ คงจะเห็นว่าหนังสือเล่มนี้จริง ๆ แล้วเป็น หนังสือรวมคำศัพท์ที่ต้องรู้สำหรับข้อสอบ SAT ซึ่งเป็นข้อสอบที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการสมัครเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อเมริกาด้วย (มหาวิทยาลัยในเมืองไทยโปรแกรมอินเตอร์หลายที่ก็ใช้ SAT ด้วย) โดยมีคำศัพท์มากถึง 1046 คำ

แต่ที่ครูชอบเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ก็คือ เขาทำตัวหนาของคำศัพท์เหล่านี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งของตัว text ด้วย และตรงช่วงล่างของหน้า เขาก็มีคำแปลคำอธิบายคำศัพท์นั้น ๆ เป็นภาษาอังกฤษเอาไว้อีกด้วย (หลาย ๆ คนที่ติดตามครูจะทราบว่า ครูจะไม่ค่อยปลื้มกับการแปลอังกฤษเป็นไทยในการสื่อสารโดยทั่วไป เพราะจะทำให้เราเข้าใจภาพรวมของภาษาไม่ได้ทั้งหมด) หากเราไม่รู้คำศัพท์นั้น เราก็ไล่สายตาลงมาดูคำแปลคำอธิบายที่เป็นภาษาอังกฤษได้ทันที ไม่ต้องไปเปิดพจนานุกรมเองอีกทอดหนึ่ง

เป็นที่น่ายินดีว่าหนังสือนิยายจำพวกนี้ไม่ได้มีอยู่แค่เล่มนี้เล่มเดียว จริง ๆ มีมากกว่านี้เยอะ แต่น้อง ๆ คงจะหาซื้อในเมืองไทยกันไม่ได้ง่าย ๆ ครูก็เลยจะแนะนำว่า น้อง ๆ ลองไปค้นหาหรือซื้อหากันได้ที่เว็ปไซต์ www.amazon.com ครับ หนังสือพวกนี้มีขายอยู่ที่นั่น และสำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าจะสั่งซื้อหนังสือจาก amazon ได้ยังไง ก็ลองไปอ่านคำแนะนำดูในลิงค์นี้นะครับ เขาแนะนำไว้ดีพอสมควรเลยทีเดียว

สรุปแล้วกันนะว่า วิธีหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาการเรียนภาษาของเราก็คือ การอ่านเยอะ ๆ โดยเฉพาะถ้าเราเลือกหนังสือหรือบทความที่เราจะอ่านได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมด้วยแล้ว อย่างเช่นหนังสือเรื่อง The Ring of McAllister: Score-Raising Mystery Featuring 1,046 Must-Know SAT Vocabulary Words นี้ เพราะ

1. เราสามารถเรียนภาษาและคำศัพท์แบบควบคู่ไปกับการเรียนรู้วัฒนธรรมด้วย การอ่านถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและภาษา

2. หนังสือในลักษณะนี้เน้นทั้งความบันเทิงและสาระความรู้โดยรวมรวมคำศัพท์ที่สำคัญไว้มากมาย โดยมีคำแปลและคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วย ทำให้อ่านแล้วสนุกและได้ความรู้ไปพร้อม ๆ กัน

3. คำศัพท์เหล่านี้ต้องถือว่าเป็นคำศัพท์สำคัญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบรรณานุกรมคำศัพท์ที่ควรรู้ในระดับมัธยมของประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ดังนั้นคำศัพท์ที่น้อง ๆ เรียนรู้ก็จะเป็นคำศัพท์ที่ช่วยน้อง ๆ ในการสอบภาษาอังกฤษของเมืองไทยได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น O-NET, GAT, หรือข้อสอบภาษาอังกฤษที่ใช้สอบเข้าโปรแกรมอินเตอร์ต่าง ๆ ในระดับมหาวิทยาลัย

อ่านกันมาถึงตรงนี้ ครูก็หวังว่าน้อง ๆ คงจะพอเห็นแนวทางที่เราจะพอยกระดับพัฒนาการเรียนรู้ของการเรียนภาษาอังกฤษของเราให้สนุกและได้สาระไปด้วยพร้อม ๆ กันนะครับ

เรียนรู้ภาษา นำพาวัฒนธรรม ตอนที่ 1: Language and Culture Part 1

สวัสดีครับ หัวข้อวันนี้ฟังดูคล้าย ๆ กับเป็นคำขวัญเลยเนอะ "เรียนรู้ภาษา นำพาวัฒนธรรม" แต่ครูเชื่อแบบนั้นจริง ๆ นะ เพราะครูคิดว่าการเรียนภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรก็ตาม หากเราไม่รู้จักเรียนรู้วัฒนธรรมไปด้วย เราจะไม่รู้สึกซาบซึ้งกับภาษานั้น ๆ เพราะจริง ๆ แล้วภาษาเป็นเครื่องมือสำหรับการสื่อสาร เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่น้อง ๆ บางคนอาจจะรู้สึกว่า การเรียนภาษาเป็นสิ่งที่ยาก ก็เพราะเราอาจจะเรียนภาษาแบบเรียนจากตำรา ทำให้รู้สึกว่าภาษาเป็นแค่วิชา ๆ หนึ่งเท่านั้น มันก็ไม่สนุก เหมือนฝืนให้กลืนยาขม แต่ถ้าเรามองการเรียนภาษาใหม่ มองให้เห็นทะลุว่าการเรียนภาษาคือการเรียนรู้วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เต็มไปด้วยสิ่งแปลกใหม่มากมาย ครูเชื่อว่ามุมมองทางด้านการเรียนภาษาของหลาย ๆ คนอาจจะเปลี่ยนไป

ครูจะยกตัวอย่างให้ฟังละกัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ครูผ่านไปเห็นคลิ๊ปวิดีโอสอนภาษาอังกฤษมาซึ่งมีการพูดถึงข้อสอบ GAT ส่วนภาษาอังกฤษของปี 2552 ครั้งที่ 2 ข้อสอบข้อหนึ่งถามให้นักเรียนเลือกคำศัพท์ที่มีความหมายไม่เหมือนตัวเลือกอื่น ๆ (odd one out) โดยมีตัวเลือกต่าง ๆ ดังนี้

Three of the words in each group relate to one another in their meaning. choose the word that does NOT belong.

(1) Rage (2) Wrath (3) Felicity (4) Anger

น้อง ๆ หลายคนคงจะตอบถูกไปแล้วว่า คำตอบคือ Felicity เพราะ Felicity (noun) แปลว่า ความสุข ในขณะที่ตัวเลือกอื่น ๆ ซึ่งก็เป็นคำนามเหมือนกัน จะมีความหมายคล้าย ๆ กันเกี่ยวกับความโกรธ ความเกรี้ยวกราด

คราวนี้หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า ข้อสอบออกคำศัพท์ยาก ๆ แบบนี้ แต่เวลาเรียนจริงในห้องเรียน ไม่เห็นมีการสอนคำศัพท์แบบนี้เลย ข้อสอบออกยากเกินไปหรือเปล่า ออกเกินระดับหรือเปล่า

ครูว่าตรงนี้เราต้องไปถามกันกับผู้ดูแลหลักสูตรอ่ะครับว่าคำศัพท์เหล่านี้มันเป็นศัพท์ที่อยู่ในหรือเหมาะสมตามหลักสูตรหรือเปล่า (คนออกข้อสอบเขาก็จะอ้างว่าออกตามหลักสูตรอ่ะนะ) สำหรับคุณครูผู้สอนตามโรงเรียนมัธยมอาจจะบอกว่าจะให้สอนให้เก็งคำศัพท์ทุกคำแบบที่ข้อสอบ GAT จะออกก็คงจะเป็นไปได้ยากอยู่ เพราะคำศัพท์มีมากมาย จะไปให้นักเรียนท่องศัพท์จำศัพท์ทุกคำเพื่อเก็งข้อสอบก็อาจจะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่โรงเรียนซะทีเดียว เพราะการเรียนที่โรงเรียนก็จะไม่เหมือนกับการเรียนกวดวิชา

พูดกันตามตรง ครูเข้าใจความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายนะครับ ฝ่ายหนึ่งก็คือความรู้สึกของน้อง ๆ นักเรียนที่อยากทำข้อสอบได้ รู้ศัพท์ที่เก็งได้ให้ใกล้เคียงหรือตรงกับคำศัพท์ในข้อสอบมากที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งคือคุณครูที่โรงเรียน เพราะการสอนนักเรียนให้ทำข้อสอบได้เท่านั้น ไม่ใช่การเรียนการสอนที่ดีและไม่ใช่วัตถุประสงค์ของหลักสูตรที่กระทรวง ฯ กำหนด

ครูจึงมีคำแนะนำครับ คำแนะนำที่จริง ๆ แล้วก็จะเกี่ยวข้องกับการเรียนภาษาไปพร้อม ๆ กับวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน ครูขอกลับไปที่ตัวอย่างที่ครูยกมานะครับ

คำศัพท์ทั้งสี่นั้น หลัก ๆ แล้วครูคิดว่าน้อง ๆ ส่วนใหญ่คงจะทราบว่า Anger และ Rage ซึ่งมีความหมายใกล้เคียง เกี่ยวข้องกัน และแปลว่าอะไร

ตัวปัญหาก็จะอยู่ที่คำว่า Felicity กับคำว่า Wrath ซึ่งน้องหลาย ๆ คนคงไม่ได้ยินกันบ่อย ๆ

อย่างคำว่า Wrath เนี่ย ต้องถือว่าเป็นคำที่ใช้ในภาษาโบราณ ดังนั้นเราคงจะไม่ได้ยินคำนี้กันบ่อย ๆ ทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่หากว่าใครได้มีโอกาสอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เราจะเห็นคำว่า Wrath นี้ใช้ค่อนข้างบ่อยทีเดียวในไบเบิ้ล อย่างเช่น

"Riches do not profit in the day of wrath, but righteousness delivers from death." Proverbs 11:40

"A soft answer turns away wrath, but a harsh word stirs up anger." Proverbs 15:1

เห็นไหมครับว่าถ้าเราไม่รู้ความหมายของคำว่า Wrath แต่ถ้าเราได้มีโอกาสเจอ ได้เห็น แล้วอ่านทั้งประโยค เราก็จะพอเดาความหมายของ Wrath ได้ ซึ่งก็จะใกล้เคียงกับคำว่า Anger และ Rage ในข้อสอบ

ส่วนคำว่า Felicity หากใครได้เคยดูละครซีรีส์ของอเมริกาเรื่อง Desperate Housewives หรือภาพยนตร์เรื่อง Transamerica เมื่อเร็ว ๆ นี้ (ปี 2005) คงจะยังพอจำนักแสดงหญิงที่มากไปด้วยฝีมืออย่าง Felicity Huffman กันได้นะครับ

ใช่แล้วเห็นชื่อไหมครับ Felicity Huffman คำ ๆ เดียวกันเลยกับคำว่า Felicity คราวนี้หลาย ๆ คนก็คงจะถึงบางอ้อกันแล้วว่าคำตอบสำหรับข้อสอบข้อนี้คือ ตัวเลือก (3) Felicity แม้ว่าอาจจะยังไม่รู้ความหมายของคำ ๆ นี้ แต่เราคงจะพอใช้เหตุผลคาดการณ์ได้ว่า (ที่ไม่ใช่การเดาสุ่ม) คงจะไม่มีใครที่ไหนตั้งชื่อลูกตัวเองหรือชื่อตัวเองให้มีความหมายไม่ดี ให้มีความหมายว่าความโกรธ ความเกรี้ยวกราด ดังนั้นคำว่า Felicity จึงเป็นคำที่มีความหมายต่างจากพวก

ที่ครูเล่ามาซะยืดยาว เหตุผลจริง ๆ แล้วก็ต้องการที่จะบอกว่า ถ้าเราเรียนรู้วัฒนธรรมไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้ภาษาไปด้วย เราจะประสบความสำเร็จและเกิดความชอบในภาษาที่เราเรียนมากขึ้นครับ แทนที่เราจะเรียนภาษาแบบท่องจำ ท่องศัพท์ไปวัน ๆ โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำศัพท์เหล่านั้นควรจะใช้อย่างไร หากในทางกลับกันเราเรียนภาษาแบบควบคู่ไปกับวัฒนธรรม เราก็อาจจะมีโอกาสได้อ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลบ้าง หรือได้เห็นคำคม ๆ จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลแบบที่ครูยกตัวอย่างมาให้ดู หรือได้ดูภาพยนตร์และละครซีรีส์จากต่างประเทศ เราจะพอที่ได้รู้จักนักแสดงหรือตัวละครต่าง ๆ กันบ้าง ทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับภาษานั้นมากขึ้น ความซาบซึ้งและความรู้ทางด้านภาษาของเราก็จะเพิ่มขึ้นครับ

นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่า ทำไมคนที่ใช้ภาษาอังกฤษที่บ้านเป็นประจำ (อย่างคนที่คุณพ่อคุณแม่เป็นชาวต่างชาติพูดภาษาอังกฤษ) หรือเติบโตในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ จึงมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษโดยเฉลี่ยมากกว่าเด็กไทยทั่วไป เพราะว่าเขาเรียนภาษาควบคู่ไปกับการเรียนรู้วัฒนธรรมครับ

แต่ถ้าเราไม่ได้เติบโตในต่างประเทศล่ะ หรือคุณพ่อคุณแม่ลุงป้าน้าอาก็ไม่ได้เป็นฝรั่ง เป็นไทยแท้ เราจะเก่งภาษาอังกฤษแบบเรียนรู้วัฒนธรรมไปด้วยได้ไหม คำตอบคือ ได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคศตวรรษที่ 21 แล้ว ทำได้ไม่ยาก ในบทความภาค 2 ครูจะมาขยายความแล้วกันว่าเราจะมาลองเรียนภาษาแบบควบคู่ไปกับวัฒนธรรมได้อย่างไร แบบไม่ยาก ไม่ต้องเสียสตางค์ไปกวดวิชาเรียนพิเศษมากมาย คราวหน้ามาเจอกันใหม่ครับ

Tuesday, March 1, 2011

Everyone's favorite inorganic chemist

สวัสดีครับ

วันนี้ครูขอมาแหวกแนวหน่อยหนึ่ง คือจะขอพูดถึงเรื่องของเคมีแทน (แต่ก็ยังมีเอี่ยวเป็นภาษาอังกฤษนะเออ) และเคมีที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เคมีธรรมดา ๆ ด้วยนะครับ แต่เป็น เคมีอนินทรีย์ หรือที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า inorganic chemistry

น้อง ๆ บางคนอาจจะสงสัยว่า เคมีอนินทรีย์ คืออะไรล่ะ โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่เรียนชั้นม.ปลายกัน สำหรับหลาย ๆ คนถ้าพูดถึงเคมีก็อาจจะหน้ามืดตามัวไปหมดแล้ว (ตอนครูเป็นเด็ก ๆ ก็หน้ามืดกับเคมีเหมือนกัน อย่ากังวลไป) จริง ๆ แล้วถ้าว่ากันตามธรรมเนียม วิชาเคมีจะแบ่งออกเป็นห้าหมวดด้วยกันคือ เคมีอนินทรีย์ ที่บอกไปแล้ว 2. เคมีอินทรีย์ (organic chemistry) วิชาสุดป๊อบของน้อง ๆ นักศึกษาแพทย์ พยาบาล ทันตะ เภสัช ฯลฯ 3. เคมีวิเคราะห์ (analytical chemistry) 4. เคมีฟิสิกส์ (physical chemistry) และ 5. ชีวเคมี (biochemistry) วิชานี้ก็สุดฮิตสำหรับน้อง ๆ นักศึกษาแพทย์ พยาบาล ทันตะ เภสัช ฯลฯ เช่นกัน แต่ในปัจจุบันมีสหสาขาเกิดขึ้นมากมาย ผสมปนเปกันไปหมด ดังนั้นปัจจุบันน้อง ๆ อาจจะเห็นสาขาเคมีแตกแขนงออกไปมากมายก่ายกอง เช่น เคมีควอนตัม เคมีคำนวณ เคมีอนินทรีย์เชิงชีวภาพ เคมีนาโน เคมีผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ฯลฯ แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เคมีสาขาย่อย ๆ เหล่านี้ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเคมีห้าหมวดหลักที่ครูพูดถึงไปแล้ว

แต่วันนี้ครูขอโฟกัสกับ เคมีอนินทรีย์ ก่อนก็แล้วกัน เพราะเป็นวิชาเคมีที่ครูว่าน่าสนใจมาก ไม่แพ้เคมีแขนงอื่น ๆ เพราะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับสารประกอบเคมีที่นอกเหนือไปจากสารอินทรีย์ (หลัก ๆ ก็คือสารประกอบที่มี C, H, N, และ O เป็นองค์ประกอบ) และปฏิกิริยารวมถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทางกายภาพและทางเคมีของสารประกอบเหล่านี้ซึ่งมีจำนวนมากมหาศาล พูดคร่าว ๆ ก็คือเคมีวิชานี้ เป็นวิชาที่ศึกษาสารประกอบของธาตุเกือบทั้งตารางธาตุเลยแล้วกัน

น้อง ๆ หลายคนคงจะพอทราบกันบ้างแล้วว่าเวลานักวิทยาศาสตร์เขาทำงาน เขาก็ทำการศึกษา ทำการทดลอง ทำการวิจัยต่าง ๆ พอเขาได้ผลค้นพบหรือประดิษฐ์อะไรใหม่ ๆ ได้ นักวิทยาศาสตร์ (นักเคมีก็คือนักวิทยาศาสตร์) เขาก็จะต้องมีการตีพิมพ์ผลงานเหล่านั้น บางทีก็ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ บางทีก็จดเป็นลิขสิทธิ์ สิทธิบัตรกันเลย

น้อง ๆ ก็คงจะพอนึกกันออกว่าวิทยาศาสตร์มีหลายสาขามากมาย ดังนั้นวารสารต่าง ๆ ก็ย่อมมีมากตามไปด้วย แต่วารสารที่ครูจะพูดถึงวันนี้คือ วารสารอนินทรีย์เคมี (Inorganic Chemistry) ที่จัดพิมพ์โดยสมาคมเคมีที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ นั่นก็คือ สมาคมเคมีแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ The American Chemical Society โดยในปี 2011 นี้ซึ่งเป็น ปีเคมีสากลของโลก (International Year of Chemistry) วารสารเคมีอนินทรีย์ก็ได้มีอายุมาครบ 50 ขวบพอดี ในโอกาสนี้คณะบรรณาธิการของวารสารก็เกิดไอเดียเก๋ ๆ จัดทำรายการที่ชื่อว่า Voices of Inorganic Chemistry ซึ่งเป็นซีรีส์การเสวนาออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยการเสวนานี้ดำเนินรายการโดยบรรณาธิการของวารสารเองเลย ส่วนผู้ที่มาให้สัมภาษณ์หรือมาร่วมเสวนานั้นก็จะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นนักเคมีคนสำคัญ ๆ ของวงการว่าอย่างนั้นเถอะ

สำหรับรายการเสวนาที่ครูจะเอามาแบ่งปันกับน้อง ๆ เป็นบทสัมภาษณ์ของศาสตราจารย์ Harry Gray ซึ่งเป็นนักเคมีระดับบิ๊กจาก California Institute of Technology อันมีชื่อเสียงหรือที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า Caltech นั่นเอง (ไม่ใช่ป๊ัมน้ำมันนะจ๊ะ) Caltech ตั้งอยู่ที่เมือง Pasadena และเป็นคู่แข่งกันมาตลอดกับสถาบันอย่าง MIT ที่ครูนำบทสัมภาษณ์ของ Prof. Gray มานี้ก็เพราะครูเห็นว่าเป็นการเสวนาที่ไม่ใช่มีแต่เรื่องวิชาการซะเกินไป จริง ๆ แล้วมีเรื่องเล่าสนุก ๆ ที่ Prof. Gray นำมาแบ่งปันมากมาย ครูก็ขอให้น้อง ๆ สนุกกับการชมก็แล้วกันนะครับ
สำหรับใครที่เป็นเด็กวิทย์ ดูแล้วก็จะได้เป็นการฝึกภาษาอังกฤษไปในตัวนะ ส่วนใครที่เป็นเด็กศิลป์ ดูแล้วก็จะได้มีไอเดียพอสังเขปว่าเคมีเนี่ย มันคืออะไร โดยเฉพาะ เคมีอนินทรีย์ นะครับ ใครดูแล้วยังงง ๆ กับเนื้อหาเคมีบางส่วนก็อย่าเพิ่งมึนไปซะก่อน เพราะบางตอนเนื้อหาอาจจะหนักสำหรับน้อง ๆ มัธยมหรือกระทั่งน้อง ๆ มหาวิทยาลัย ส่วนหนัก ๆ ก็ดูผ่าน ๆ ดูพอเป็นสังเขป แต่ดูโดยรวมเก็บสะสมไว้เล่าสู่กันฟังต่อไปได้ นะครับ

ส่วนน้อง ๆ คนไหนใกล้จะสอบ GAT PAT สุดสัปดาห์นี้ ก็ขอให้ทำคะแนนได้เยอะ ๆ แล้วกันนะครับ ทั้งวิชาวิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษนะ โชคดีครับ

Friday, February 18, 2011

เขียนอย่างไร ให้ได้ดี: เขียนแบบไม่เยิ่นเย้อ

สวัสดีครับ สำหรับบทความตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของหัวเรื่องใหม่นะครับ นั่นก็คือ "เขียนอย่างไร ให้ได้ดี" เรื่องของเรื่องที่ไปที่มาสำหรับคอลัมน์นี้มันก็มีอยู่ว่า มีน้อง ๆ หลายคนมาปรึกษาหารือกับครูว่าทำไมเขียนภาษาอังกฤษให้ได้ดี มันยากเย็นแสนเข็ญนัก ครูก็เข้าใจนะครับ เพราะว่าการเขียนเป็นทักษะที่ท้าทายมากนะจริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเขียนภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ตาม (ครูคิดว่าการเขียนภาษาอื่น ๆ ก็คงจะเป็นสิ่งที่น่าท้าทายเช่นกัน) ครูก็เลยเกิดไอเดียขึ้นมาว่า ถ้าแบบนั้นครูลองถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่ครูมีเกี่ยวกับการเขียนภาษาอังกฤษให้น้อง ๆ อ่านดีกว่า จะเป็นการแบ่งปันความรู้ที่ดีกว่าการที่จะมานั่งพูดปาว ๆ

ก่อนอื่นครูต้องขอบอกน้อง ๆ ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเขียนเน่ียมีเยอะแยะไปหมด คงจะไม่จบกันง่าย ๆ (ก็หวังว่าน้อง ๆ คงจะติดตามกันต่อ ๆ ไปนะครับ) และหัวข้อที่ครูจะมานำเสนอเกี่ยวกับการเขียนก็จะมีหลายหลากกันไป อาจจะเป็น creative writing บ้าง scientific writing บ้าง academic writing บ้าง ก็ว่ากันไป

อีกอย่างอยากจะบอกให้น้อง ๆ ทราบกันตรงนี้เลยว่า แม้ว่าการเขียนอาจจะดูยากและท้าทายมาเท่าใดก็ตาม ครูอยากให้น้อง ๆ ตระหนักกันไว้อย่างหนึ่งว่า การเขียนที่ดี (ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรก็แล้วแต่) คือการเขียนให้คนที่มาอ่านข้อความหรือบทความของเราอ่านแล้วรู้เรื่อง เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ ซึ่งครูย้ำอยู่เสมอว่า ในระดับหนึ่ง ภาษาคือการสื่อสาร (แน่นอนว่าภาษาจริง ๆ แล้วมีหลายมิติกว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักภาษาศาสตร์) โดยเฉพาะสำหรับบุคคลทั่วไป ดังนั้นภาษาอังกฤษที่ครูหยิบยกมาทั้งหมดในบล็อกนี้จะเป็นภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับการสื่อสาร ดังนั้นการเขียนภาษาอังกฤษที่ครูจะพูดถึงเขียนถึงนั้น ก็จะเป็นการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารนะครับ

พอเราตระหนักกันแล้วว่า การเขียนภาษาอังกฤษที่ดี คือการเขียนที่จะให้ผู้รับสารของเราอ่านรู้เรื่อง เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อใช่ไหมครับ เราก็จะรู้สึกว่่าการเขียนนี่ก็คงจะไม่ยากสักเท่าไร เพราะเราไม่จำเป็นต้องใช้คำศัพท์พิศดาร ใส่ข้อความสวยหรูดูเท่ห์ (แต่อ่านไม่รู้เรื่อง) หรือเขียนข้อความยาว ๆ แต่ไม่ได้ใจความ เข้าทำนอง น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง เสมอไปครับ หลายครั้งที่เราเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ที่กระชับ ได้ใจความ ใช้ศัพท์แสงที่เข้าใจง่าย ผลที่ออกมาก็คือบทความงานเขียนที่ดีได้ คราวนี้พอฝึกเขียนบ่อย ๆ ก็จะเกิดความเคยชิน และทักษะการเขียนของเราก็จะพัฒนาไปเรื่อย ๆ

เกริ่นนำมาพอสมควร คราวนี้เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าสำหรับบทความในคอลัมน์ "เขียนอย่างไร ให้ได้ดี" ตอนแรก อย่างที่ครูบอกไปแล้วว่า บทความที่ดีไม่จำเป็นต้องยืดยาว บทความสั้น ๆ กระชับ ได้ใจความ ย่อมเป็นบทความที่น่าดึงดูดคนอ่านได้มากกว่าด้วยซ้ำไป

ในภาษาอังกฤษบางครั้งการใช้คำหรือวลีที่ซ้ำซ้อน เยิ่นเย้อ (redundant words or phases) ผู้เขียนบางคนอาจจะคิดว่าดูเก๋ แต่จริง ๆ แล้วตามหลักการเขียน มันเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ครูขอยกตัวอย่างคำซ้ำซ้อนบางคำให้ดูนะครับ เช่น advanced planning

น้อง ๆ ว่ายังไงบ้าง ถ้าดูเผิน ๆ เราอาจจะไม่รู้สึกว่า advanced planning มันซ้ำซ้อนตรงไหน แต่ถ้าเราเขียนไป คิดไป จะเห็นว่า planning มันสื่ออยู่แล้วว่าเป็นการกระทำล่วงหน้า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า advanced เข้าไป เพราะไม่เห็นมีที่ไหนที่จะเกิด planning แบบย้อนหลังได้ จริงไหมครับ

ลองมาดูอีกตัวอย่างกันนะครับ The Statue of Liberty is a colossal neoclassical sculpture made of copper and is green in color. น้อง ๆ คิดว่าส่วนไหนของประโยคเป็นส่วนซ้ำซ้อนครับ ... ใช่แล้วครับ ส่วนที่เยิ่นเย้อคือ "green in color" นั่นเองครับ เพราะคำว่า green บ่งบอกถึงสีอยู่แล้ว ซึ่งก็คือ สีเขียว นั่นเอง ไม่จำเป็นต้องเขียนให้ยืดยาวว่า green in color อีกต่อไป ดังนั้นประโยค The Statue of Liberty is a colossal neoclassical sculpture made of copper and is green. จึงเป็นประโยคที่กระชับและได้ใจความกว่าครับ

เอ้าลองดูอีกตัวอย่างนะ The 135th Wesminster Kennel Club dog show was held in the month of February, 2011. จากประโยคนี้จะเห็นได้ว่า February ระบุอยู่แล้วในตัวของมันว่าหมายถึงเดือน คือเดือนกุมภาพันธ์ ดังนั้นการเขียนที่ดีและกระชับจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ the month of นำหน้า เราควรจะเขียนได้ใหม่เป็น The 135th Wesminster Kennel Club dog show was held in February, 2011.

ตอนนี้น้อง ๆ ก็คงจะพอเห็นและเข้าใจได้มากขึ้นแล้วใช่ไหมครับว่า การเขียนที่ดี ไม่ยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเขียนไป คิดไป แก้ไป ทวนไป น้อง ๆ ก็จะสามารถพัฒนาทักษะการเขียนของน้อง ๆ ได้เพ่ิมขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถเป็นนักเขียนที่ดีได้เลยล่ะครับ

สำหรับตอนหน้า ครูจะมาเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับทักษะการเขียน ก็ต้องลองติดตามกันดูนะครับ สำหรับตอนนี้ สวัสดีครับ

Monday, February 7, 2011

American Proverb: No Pain, No Gain

เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศให้เข้ากับการเตรียมตัวสอบ O-NET 53 ของน้อง ๆ ม. 6 วันนี้ครูจะมาอธิบายถึงสุภาษิตอเมริกัน (proverb) เกี่ยวกับความพยายามกันนะครับ

สุภาษิตที่ว่าก็คือ No Pain, No Gain ซึ่งหมายความว่า Nothing can be accomplished without effort ซึ่งก็แปลความได้ว่า หากไม่ใช้ความพยายามแล้ว (อ้างถึง pain เกี่ยวข้องกับ effort) ก็จะไม่ได้มาซึ่งความสำเร็จ (gain หรือ accomplishment)

ตอนนี้น้อง ๆ หลาย ๆ คนอาจจะนึกได้แล้วว่าสุภาษิต No Pain, No Gain นี่ฟังดูคุ้น ๆ หู ใช่แล้วครับสุภาษิตนี้ก็จะคล้าย ๆ กับสุภาษิตไทยเราที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

ลองดูตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้ในรูปประโยคกันนะครับ: Nida realized that it is no pain, no gain so she intended to work hard and make all the effort she could to get accepted into a prestigious school.

ครูหวังว่าน้อง ๆ จะมีความตั้งใจ ความพยายามมาก ๆ นะครับในการทำข้อสอบ O-NET ปี 53 นี้ให้ได้คะแนนเยอะ ๆ ที่สุดเท่าที่น้อง ๆ จะทำได้ (โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ อิอิ) ครูเป็นกำลังใจให้ครับ

Saturday, February 5, 2011

เรียนภาษาอังกฤษกับข่าว: ปิดน่านฟ้า The airspace is closed ตอนที่ 2

สวัสดีครับ

ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีปีใหม่กับน้อง ๆ ก่อนนะครับ ทั้งปีใหม่ 2011 และปีใหม่ตรุษจีนปีกระต่ายด้วย ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะครับ

จากนั้นก็ต้องขอโทษด้วยที่ห่างหายไปนาน ครูยุ่งมากถึงมากที่สุดและประกอบกับตารางการเดินทางของครูด้วยที่ยุ่งมากจนไม่มีเวลามาอัพเดตบล็อกเลยครับ ตอนนี้ครูก็มีเวลามากขึ้น ครูก็จะกลับมาเขียนบล็อกให้น้อง ๆ อ่านกันเรื่อย ๆ นะครับ

คราวนี้กลับมาต่อจากตอนที่แล้ว เราพูดกันถึงคำว่า close ซี่งสามารถเป็นได้ทั้งคำกิริยา (verb) และคำคุณศัพท์ (adjective) อย่างตอนที่แล้วเราพูดถึงการปิดน่านฟ้า เราก็จะใช้ว่า The air space is closed คือน่านฟ้าถูกปิด เพราะคำว่า closed ในประโยคนี้เป็นรูป passive ของกิริยา close ที่แปลว่าปิด

แต่ถ้าเราพูดว่า I am close to all my friends จะเห็นว่า close ในที่นี้จะไม่เติม d ต่อท้ายแม้ว่าจะตามหลัง verb to be อย่าง am ก็ตาม ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคำว่า close ในประโยคนี้เป็นคำคุณศัพท์ ซึ่งคำคุณศัพท์จะใช้กับ verb to be ได้เลย ประโยคนี้จะแปลได้ว่า ฉันสนิทกับเพื่อน ๆ ทุกคน (อย่างกลุ่มเพื่อน ๆ ในละคร Glee ที่กำลังฮิตกันอยู่ที่อเมริกาเป็นต้น)


บทสรุปก็คือ หนึ่ง คำบางคำในภาษาอังกฤษมีได้หลายความหมายและทำได้หลายหน้าที่ เช่น เป็นคำกิริยาก็ได้ เป็นคำคุณศัพท์ก็ได้ เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ (adverb) ก็ได้ สอง ดังนั้นเราต้องรูจักหน้าที่ของคำ (parts of speech) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งครูจะเอามาเล่าให้ฟังต่อไปนะครับ

ถ้าเราคอยตระหนักถึงบทสรุปสองข้อข้างต้นอยู่เสมอ การใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารก็จะเป็นเรื่องไม่ยากจนเกินไปครับ

ตอนนี้ก็ใกล้ที่จะสอบ O-NET 53 กันแล้วสำหรับน้อง ๆ ม.6 เพราะฉะนั้นครูก็ขอให้ทุกคนโชคดี ทำข้อสอบได้คะแนนเยอะ ๆ นะครับ

Wednesday, May 12, 2010

เรียนภาษาอังกฤษกับคลิปสั้น ๆ: รู้จัก Lady Gaga กะ Ella Fitzgerald กันไหมครับ

สวัสดีครับ ช่วงนี้ นาน ๆ ครั้งมาพบกันสักครั้งหนึ่งนะครับ พอดีครูงานยุ่งมาก ๆ แบบว่าช่วงนี้ใกล้จะปิดเทอม Spring ของที่อเมริกาแล้ว เลยมีงานต้องตรวจ ข้อสอบต้องออก รายงานต้องแก้ มากไปหน่อยครับ แต่ยังไง ครูก็จะพยายามมาพบกับน้อง ๆ เสมอนะครับ

อย่างวันนี้ ครูก็มีวิดิโอคลิป YouTube มาเล่าสู่กันฟังกับน้อง ๆ แต่ ... เอ๊ะ ใช่แล้วครับน้อง ๆ ครูยังติดเรื่อง เรียนภาษาอังกฤษกับข่าว: ปิดน่านฟ้า The airspace is closed ตอนที่สองที่จะเขียนให้น้อง ๆ อ่านต่อ แต่ ย.ห. อย่าห่วงครับ คราวหน้าเดี๋ยวครูมาเขียนตอนที่สองต่อแน่ ๆ รอให้งานที่ค้างคาอยู่หมดไปสักนิดหนึ่งนะคร้าบ

วันนี้ก็สั้น ๆ นะครับ (แต่จะสั้นแค่ไหนต้องอ่านดูเอาเองนะครับ อิอิ) น้อง ๆ ลองดูช่วงท้ายของรายการข่าวประจำสัปดาห์ที่ชื่อว่ารายการ 60 Minutes กันสักนิดหนึ่งนะครับ (จิ้มดูที่คลิปข้างล่างเลยครับ) ช่วงท้ายของรายการตรงนี้ มีผู้ดำเนินรายการชื่อคุณตา Andy Rooney เป็นชาวนิวยอร์กโดยกำเนิด ซึ่งดำเนินรายการช่วงท้ายของ 60 Minutes มานานกว่า 30 ปีแล้วครับ คุณตา Andy เนี่ยจะว่าไปแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ นักเขียน ผู้สื่อข่าว รุ่นลายครามที่มีความสามารถรอบตัวเลยครับ อย่างที่คำภาษาอังกฤษเขาใช้กันว่า veteran journalist นั่นเอง คุณตาอายุได้ 91 ปีแล้วครับ ลองฟังดูครับ เป็นการฝึกทักษะการฟังที่ดีด้วย



รายการช่วงนี้โดยทั่วไปคุณตา Andy จะออกมาแสดงความเห็นของแกเกี่ยวกับสถานการณ์ เหตุการณ์ต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเรา ซึ่งคำภาษาอังกฤษที่เขาใช้กับรายการประเภทนี้ก็คือ commentary และด้วยความที่แกเป็นคนที่ออกจะมี witty humor หรือ อารมณ์ขันแบบคม ๆ เจ็บ ๆ คัน ๆ อยู่สักหน่อย รายการช่วงนี้ของแกก็เลยเป็นที่ชื่นชอบกับผู้ชมในอเมริกามากมาย

ล่าสุดนี้เอง อย่างที่ดูใน YouTube อ่ะนะครับ แกก็ให้ความเห็นเกี่ยวกับวัฒนธรรมดนตรีร่วมสมัยในปัจจุบันไปในทำนองที่ว่า วงการดนตรีก้าวหน้าไปมาก นักร้อง นักแสดง นักดนตรี หน้าใหม่ ๆ อย่าง Lady Gaga, Justin Bieber, หรือ Usher แกก็ไม่รู้จัก แกเหน็บตอนช่วงท้ายไว้ว่า แต่ก็คง "เจ๊า" กันมั้ง ซึ่งตรงกับสำนวนที่แกใช้ว่า Maybe we should call it even สำหรับตัวแกเองและเด็กรุ่นใหม่ เพราะแกเชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่ก็คงไม่รู้จักนักร้องผิวเข้ม ชื่อดัง เสียงอมตะ อย่าง Ella Fitzgerald เหมือนกัน น้อง ๆ ล่ะครับ รู้จัก Ella Fitzgerald กันหรือเปล่า ถ้าไม่รู้จัก ก็จิ้มตามไปที่ลิงค์เลยครับ

และเชื่อไหมครับ พอเช้าวันรุ่งขึ้น รายการวิทยุรายการเพลงต่าง ๆ ที่พี่ฟังเป็นประจำ ได้ออกความเห็นเหน็บแนมคุณตา Andy กลับพอหอมปากหอมคอ ว่า Ella Fitzgerald หรือ ทำไมเราจะไม่รู้จัก รู้จักสิ เรายังเล่นเพลงของ Ella Fitzgerald อยู่่ทุกวันคริสต์มาสของทุกปีเลย (จริง ๆ ยังมีเพลงเพราะ ๆ ของ Ella Fitzgerald อีกเยอะครับ ไม่แต่เฉพาะเพลงคริสต์มาสต่าง ๆ) คริคริคริ ลองฟังเพลงเพราะ ๆ ของ Ella Fitzgerald กันดูครับ แล้วเรากลับมาพบกันตอนหน้านะครับ