ครูจะยกตัวอย่างให้ฟังละกัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ครูผ่านไปเห็นคลิ๊ปวิดีโอสอนภาษาอังกฤษมาซึ่งมีการพูดถึงข้อสอบ GAT ส่วนภาษาอังกฤษของปี 2552 ครั้งที่ 2 ข้อสอบข้อหนึ่งถามให้นักเรียนเลือกคำศัพท์ที่มีความหมายไม่เหมือนตัวเลือกอื่น ๆ (odd one out) โดยมีตัวเลือกต่าง ๆ ดังนี้
Three of the words in each group relate to one another in their meaning. choose the word that does NOT belong.
(1) Rage (2) Wrath (3) Felicity (4) Anger
น้อง ๆ หลายคนคงจะตอบถูกไปแล้วว่า คำตอบคือ Felicity เพราะ Felicity (noun) แปลว่า ความสุข ในขณะที่ตัวเลือกอื่น ๆ ซึ่งก็เป็นคำนามเหมือนกัน จะมีความหมายคล้าย ๆ กันเกี่ยวกับความโกรธ ความเกรี้ยวกราด
คราวนี้หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า ข้อสอบออกคำศัพท์ยาก ๆ แบบนี้ แต่เวลาเรียนจริงในห้องเรียน ไม่เห็นมีการสอนคำศัพท์แบบนี้เลย ข้อสอบออกยากเกินไปหรือเปล่า ออกเกินระดับหรือเปล่า
ครูว่าตรงนี้เราต้องไปถามกันกับผู้ดูแลหลักสูตรอ่ะครับว่าคำศัพท์เหล่านี้มันเป็นศัพท์ที่อยู่ในหรือเหมาะสมตามหลักสูตรหรือเปล่า (คนออกข้อสอบเขาก็จะอ้างว่าออกตามหลักสูตรอ่ะนะ) สำหรับคุณครูผู้สอนตามโรงเรียนมัธยมอาจจะบอกว่าจะให้สอนให้เก็งคำศัพท์ทุกคำแบบที่ข้อสอบ GAT จะออกก็คงจะเป็นไปได้ยากอยู่ เพราะคำศัพท์มีมากมาย จะไปให้นักเรียนท่องศัพท์จำศัพท์ทุกคำเพื่อเก็งข้อสอบก็อาจจะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่โรงเรียนซะทีเดียว เพราะการเรียนที่โรงเรียนก็จะไม่เหมือนกับการเรียนกวดวิชา
พูดกันตามตรง ครูเข้าใจความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายนะครับ ฝ่ายหนึ่งก็คือความรู้สึกของน้อง ๆ นักเรียนที่อยากทำข้อสอบได้ รู้ศัพท์ที่เก็งได้ให้ใกล้เคียงหรือตรงกับคำศัพท์ในข้อสอบมากที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งคือคุณครูที่โรงเรียน เพราะการสอนนักเรียนให้ทำข้อสอบได้เท่านั้น ไม่ใช่การเรียนการสอนที่ดีและไม่ใช่วัตถุประสงค์ของหลักสูตรที่กระทรวง ฯ กำหนด
ครูจึงมีคำแนะนำครับ คำแนะนำที่จริง ๆ แล้วก็จะเกี่ยวข้องกับการเรียนภาษาไปพร้อม ๆ กับวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน ครูขอกลับไปที่ตัวอย่างที่ครูยกมานะครับ
คำศัพท์ทั้งสี่นั้น หลัก ๆ แล้วครูคิดว่าน้อง ๆ ส่วนใหญ่คงจะทราบว่า Anger และ Rage ซึ่งมีความหมายใกล้เคียง เกี่ยวข้องกัน และแปลว่าอะไร
ตัวปัญหาก็จะอยู่ที่คำว่า Felicity กับคำว่า Wrath ซึ่งน้องหลาย ๆ คนคงไม่ได้ยินกันบ่อย ๆ
อย่างคำว่า Wrath เนี่ย ต้องถือว่าเป็นคำที่ใช้ในภาษาโบราณ ดังนั้นเราคงจะไม่ได้ยินคำนี้กันบ่อย ๆ ทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่หากว่าใครได้มีโอกาสอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เราจะเห็นคำว่า Wrath นี้ใช้ค่อนข้างบ่อยทีเดียวในไบเบิ้ล อย่างเช่น
"Riches do not profit in the day of wrath, but righteousness delivers from death." Proverbs 11:40
"A soft answer turns away wrath, but a harsh word stirs up anger." Proverbs 15:1
เห็นไหมครับว่าถ้าเราไม่รู้ความหมายของคำว่า Wrath แต่ถ้าเราได้มีโอกาสเจอ ได้เห็น แล้วอ่านทั้งประโยค เราก็จะพอเดาความหมายของ Wrath ได้ ซึ่งก็จะใกล้เคียงกับคำว่า Anger และ Rage ในข้อสอบ
ส่วนคำว่า Felicity หากใครได้เคยดูละครซีรีส์ของอเมริกาเรื่อง Desperate Housewives หรือภาพยนตร์เรื่อง Transamerica เมื่อเร็ว ๆ นี้ (ปี 2005) คงจะยังพอจำนักแสดงหญิงที่มากไปด้วยฝีมืออย่าง Felicity Huffman กันได้นะครับ
ใช่แล้วเห็นชื่อไหมครับ Felicity Huffman คำ ๆ เดียวกันเลยกับคำว่า Felicity คราวนี้หลาย ๆ คนก็คงจะถึงบางอ้อกันแล้วว่าคำตอบสำหรับข้อสอบข้อนี้คือ ตัวเลือก (3) Felicity แม้ว่าอาจจะยังไม่รู้ความหมายของคำ ๆ นี้ แต่เราคงจะพอใช้เหตุผลคาดการณ์ได้ว่า (ที่ไม่ใช่การเดาสุ่ม) คงจะไม่มีใครที่ไหนตั้งชื่อลูกตัวเองหรือชื่อตัวเองให้มีความหมายไม่ดี ให้มีความหมายว่าความโกรธ ความเกรี้ยวกราด ดังนั้นคำว่า Felicity จึงเป็นคำที่มีความหมายต่างจากพวก
ที่ครูเล่ามาซะยืดยาว เหตุผลจริง ๆ แล้วก็ต้องการที่จะบอกว่า ถ้าเราเรียนรู้วัฒนธรรมไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้ภาษาไปด้วย เราจะประสบความสำเร็จและเกิดความชอบในภาษาที่เราเรียนมากขึ้นครับ แทนที่เราจะเรียนภาษาแบบท่องจำ ท่องศัพท์ไปวัน ๆ โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำศัพท์เหล่านั้นควรจะใช้อย่างไร หากในทางกลับกันเราเรียนภาษาแบบควบคู่ไปกับวัฒนธรรม เราก็อาจจะมีโอกาสได้อ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลบ้าง หรือได้เห็นคำคม ๆ จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลแบบที่ครูยกตัวอย่างมาให้ดู หรือได้ดูภาพยนตร์และละครซีรีส์จากต่างประเทศ เราจะพอที่ได้รู้จักนักแสดงหรือตัวละครต่าง ๆ กันบ้าง ทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับภาษานั้นมากขึ้น ความซาบซึ้งและความรู้ทางด้านภาษาของเราก็จะเพิ่มขึ้นครับ
นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่า ทำไมคนที่ใช้ภาษาอังกฤษที่บ้านเป็นประจำ (อย่างคนที่คุณพ่อคุณแม่เป็นชาวต่างชาติพูดภาษาอังกฤษ) หรือเติบโตในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ จึงมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษโดยเฉลี่ยมากกว่าเด็กไทยทั่วไป เพราะว่าเขาเรียนภาษาควบคู่ไปกับการเรียนรู้วัฒนธรรมครับ
แต่ถ้าเราไม่ได้เติบโตในต่างประเทศล่ะ หรือคุณพ่อคุณแม่ลุงป้าน้าอาก็ไม่ได้เป็นฝรั่ง เป็นไทยแท้ เราจะเก่งภาษาอังกฤษแบบเรียนรู้วัฒนธรรมไปด้วยได้ไหม คำตอบคือ ได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคศตวรรษที่ 21 แล้ว ทำได้ไม่ยาก ในบทความภาค 2 ครูจะมาขยายความแล้วกันว่าเราจะมาลองเรียนภาษาแบบควบคู่ไปกับวัฒนธรรมได้อย่างไร แบบไม่ยาก ไม่ต้องเสียสตางค์ไปกวดวิชาเรียนพิเศษมากมาย คราวหน้ามาเจอกันใหม่ครับ
No comments:
Post a Comment