ก่อนอื่นครูต้องขอบอกน้อง ๆ ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเขียนเน่ียมีเยอะแยะไปหมด คงจะไม่จบกันง่าย ๆ (ก็หวังว่าน้อง ๆ คงจะติดตามกันต่อ ๆ ไปนะครับ) และหัวข้อที่ครูจะมานำเสนอเกี่ยวกับการเขียนก็จะมีหลายหลากกันไป อาจจะเป็น creative writing บ้าง scientific writing บ้าง academic writing บ้าง ก็ว่ากันไป
อีกอย่างอยากจะบอกให้น้อง ๆ ทราบกันตรงนี้เลยว่า แม้ว่าการเขียนอาจจะดูยากและท้าทายมาเท่าใดก็ตาม ครูอยากให้น้อง ๆ ตระหนักกันไว้อย่างหนึ่งว่า การเขียนที่ดี (ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรก็แล้วแต่) คือการเขียนให้คนที่มาอ่านข้อความหรือบทความของเราอ่านแล้วรู้เรื่อง เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ ซึ่งครูย้ำอยู่เสมอว่า ในระดับหนึ่ง ภาษาคือการสื่อสาร (แน่นอนว่าภาษาจริง ๆ แล้วมีหลายมิติกว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักภาษาศาสตร์) โดยเฉพาะสำหรับบุคคลทั่วไป ดังนั้นภาษาอังกฤษที่ครูหยิบยกมาทั้งหมดในบล็อกนี้จะเป็นภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับการสื่อสาร ดังนั้นการเขียนภาษาอังกฤษที่ครูจะพูดถึงเขียนถึงนั้น ก็จะเป็นการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารนะครับ
พอเราตระหนักกันแล้วว่า การเขียนภาษาอังกฤษที่ดี คือการเขียนที่จะให้ผู้รับสารของเราอ่านรู้เรื่อง เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อใช่ไหมครับ เราก็จะรู้สึกว่่าการเขียนนี่ก็คงจะไม่ยากสักเท่าไร เพราะเราไม่จำเป็นต้องใช้คำศัพท์พิศดาร ใส่ข้อความสวยหรูดูเท่ห์ (แต่อ่านไม่รู้เรื่อง) หรือเขียนข้อความยาว ๆ แต่ไม่ได้ใจความ เข้าทำนอง น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง เสมอไปครับ หลายครั้งที่เราเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ที่กระชับ ได้ใจความ ใช้ศัพท์แสงที่เข้าใจง่าย ผลที่ออกมาก็คือบทความงานเขียนที่ดีได้ คราวนี้พอฝึกเขียนบ่อย ๆ ก็จะเกิดความเคยชิน และทักษะการเขียนของเราก็จะพัฒนาไปเรื่อย ๆ
เกริ่นนำมาพอสมควร คราวนี้เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าสำหรับบทความในคอลัมน์ "เขียนอย่างไร ให้ได้ดี" ตอนแรก อย่างที่ครูบอกไปแล้วว่า บทความที่ดีไม่จำเป็นต้องยืดยาว บทความสั้น ๆ กระชับ ได้ใจความ ย่อมเป็นบทความที่น่าดึงดูดคนอ่านได้มากกว่าด้วยซ้ำไป
ในภาษาอังกฤษบางครั้งการใช้คำหรือวลีที่ซ้ำซ้อน เยิ่นเย้อ (redundant words or phases) ผู้เขียนบางคนอาจจะคิดว่าดูเก๋ แต่จริง ๆ แล้วตามหลักการเขียน มันเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ครูขอยกตัวอย่างคำซ้ำซ้อนบางคำให้ดูนะครับ เช่น advanced planning
น้อง ๆ ว่ายังไงบ้าง ถ้าดูเผิน ๆ เราอาจจะไม่รู้สึกว่า advanced planning มันซ้ำซ้อนตรงไหน แต่ถ้าเราเขียนไป คิดไป จะเห็นว่า planning มันสื่ออยู่แล้วว่าเป็นการกระทำล่วงหน้า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า advanced เข้าไป เพราะไม่เห็นมีที่ไหนที่จะเกิด planning แบบย้อนหลังได้ จริงไหมครับ
ลองมาดูอีกตัวอย่างกันนะครับ The Statue of Liberty is a colossal neoclassical sculpture made of copper and is green in color. น้อง ๆ คิดว่าส่วนไหนของประโยคเป็นส่วนซ้ำซ้อนครับ ... ใช่แล้วครับ ส่วนที่เยิ่นเย้อคือ "green in color" นั่นเองครับ เพราะคำว่า green บ่งบอกถึงสีอยู่แล้ว ซึ่งก็คือ สีเขียว นั่นเอง ไม่จำเป็นต้องเขียนให้ยืดยาวว่า green in color อีกต่อไป ดังนั้นประโยค The Statue of Liberty is a colossal neoclassical sculpture made of copper and is green. จึงเป็นประโยคที่กระชับและได้ใจความกว่าครับ
เอ้าลองดูอีกตัวอย่างนะ The 135th Wesminster Kennel Club dog show was held in the month of February, 2011. จากประโยคนี้จะเห็นได้ว่า February ระบุอยู่แล้วในตัวของมันว่าหมายถึงเดือน คือเดือนกุมภาพันธ์ ดังนั้นการเขียนที่ดีและกระชับจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ the month of นำหน้า เราควรจะเขียนได้ใหม่เป็น The 135th Wesminster Kennel Club dog show was held in February, 2011.
ตอนนี้น้อง ๆ ก็คงจะพอเห็นและเข้าใจได้มากขึ้นแล้วใช่ไหมครับว่า การเขียนที่ดี ไม่ยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเขียนไป คิดไป แก้ไป ทวนไป น้อง ๆ ก็จะสามารถพัฒนาทักษะการเขียนของน้อง ๆ ได้เพ่ิมขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถเป็นนักเขียนที่ดีได้เลยล่ะครับ
สำหรับตอนหน้า ครูจะมาเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับทักษะการเขียน ก็ต้องลองติดตามกันดูนะครับ สำหรับตอนนี้ สวัสดีครับ
No comments:
Post a Comment